“การวางแผนธุรกิจ” ถือเป็นสิ่งแรกของการเริ่มต้นธุรกิจที่ทุกท่านต้องคำนึงถึง และเมื่อธุรกิจดำเนินมาได้สักระยะ การปรับปรุงแผนธุรกิจเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารตามสั่งที่มักจะมีเมนูให้เลือกมากมาย เพื่อใช้ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น แต่เมนูที่หลากหลายก็เป็นเหมือนดาบสองคมเช่นกัน เพราะเป็นไปได้ว่าต้องมีอยู่หลายเมนูที่ลูกค้าสั่งน้อย หรือนานๆ สั่งที แต่ผู้ประกอบการกลับต้องสต็อกวัตถุดิบไว้สำหรับทำเมนูเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการแบกรับต้นทุนที่มากเกินไปโดยไม่เกิดประโยชน์ ร้านอาหารที่ดีจึงต้องมีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงเมนูอยู่เรื่อยๆ เป็นต้น การทำธุรกิจจึงต้องมีการวางแผนอยู่เสมอ ในส่วนของ BCG Matrix ก็เป็นหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้การวางแผนธุรกิจดูง่ายขึ้น
| BCG Matrix คืออะไร
BCG Matrix คือ การนำ “อัตราการเจริญเติบโตของตลาด (Market Growth)” กับ “ส่วนแบ่งตลาด (Market Share)” ของ “ข้อมูลยอดขายสินค้าในแต่ละเดือน” มาเป็นตัวแปรในการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ว่าสินค้าอยู่ในตำแหน่งไหนของกราฟ BCG Matrix นั่นเอง
โดยทั้ง 4 ตำแหน่งของกราฟ BCG Matrix ประกอบด้วย
- Stars คือ สินค้าที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง และมีส่วนแบ่งการตลาดสูง เช่น สินค้าที่ขายดีมากๆ และหมดเร็วมากๆ
- Cash Cows คือ สินค้าที่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ แต่มีส่วนแบ่งการตลาดสูง เปรียบเสมือนเป็น “สินค้าหลัก” ของธุรกิจ ที่มีเสถียรภาพ สร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้ค่อนข้างมาก
- Question Marks คือ สินค้าที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง แต่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำ เป็นสินค้าที่ยังไม่ทำรายได้ให้กับธุรกิจมากนัก แต่สามารถขายได้เรื่อยๆ โดยสินค้าในกลุ่ม Question Marks นั้น เป็นกลุ่มที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถือเป็นจุดชี้วัดว่าสินค้านั้นจะขึ้นไปเป็น Stars หรือ ตกไปเป็น Dogs จึงควรมีการวางแผนอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- Dogs คือ สินค้าที่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ และส่วนแบ่งการตลาดต่ำ พูดง่ายๆ ก็คือ สินค้าที่ทำกำไรต่ำ หรือสินค้าที่ยิ่งขายก็ยิ่งขาดทุน
| เมื่อรู้แล้วต้องทำอย่างไรต่อ?
เมื่อทราบแล้วว่าใน BCG Matrix แต่ละตำแหน่งคืออะไร และสินค้าของทางร้านตรงกับกลุ่มไหนของกราฟบ้าง ก็จะมีคำถามเกิดขึ้นมาว่า แล้วจะต้องทำอะไรต่อไป ซึ่งขั้นตอนต่อมาคือจะต้องเริ่มมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสินค้าแต่ละกลุ่ม
- Stars สินค้าในกลุ่มนี้ อาจต้องมีการโปรโมทสินค้าให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันสินค้าให้ทำกำไรได้มากที่สุด เพราะสินค้าในกลุ่มนี้มักจะมีอายุสั้น คู่แข่งทางการค้าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
- Cash Cows สินค้าในกลุ่มนี้อาจไม่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มเติม แค่พยายามรักษาให้สินค้ายังคงอยู่ในกลุ่ม Cash Cow ต่อไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว
- Question Marks สินค้าในกลุ่มนี้ผู้ประกอบการต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ พยายามสร้าง Demand ให้เกิดความต้องการสินค้ามากขึ้นกว่าเดิม ทำการตลาดโปรโมทสินค้า ผลักดันให้สินค้ามีความต้องการมากขึ้น ขายได้มากขึ้น เพื่อที่สินค้าในกลุ่มนี้จะก้าวไปสู่กลุ่ม Stars ได้
- Dogs สินค้าในกลุ่มนี้เป็นสินค้าที่ไม่ค่อยทำกำไรให้กับธุรกิจ ควรพิจารณาลดการผลิตสินค้าลง ลดสต็อกสินค้า หรือหาวิธีทำโปรโมชั่นเพื่อขยับสินค้าไปสู่กลุ่ม Question Marks หรือ Cash Cows ให้ได้
จะเห็นว่าตัว BCG Matrix เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาดของสินค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสินค้าได้ทันท่วงที เพื่อการต่อยอดธุรกิจแบบมีทิศทางมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จมากขึ้นด้วย
ที่มา : ข้อมูลจาก greedisgoods.com, brandage.com, nuttaputch.com